บทที่ 11
หลิง กว๋อจื้อ,ฟาง ซุ่ยเอ๋อ และหลิง ลั่วอิน มองหน้ากันอย่างลังเล
ฟาง ซุ่ยเอ๋อ กำลังจะสาปแช่ง แต่จู่ ๆ หลิง กว๋อจื้อ ก็หยุดไว้ "มาเถอะ บางทีชายคนนี้ก็ถูกปล่อยออกจากคุกเหมือนกัน! มีคนอยู่ในคุกทุกประเภทใครจะรู้ว่าทำไมชายคนนี้ถึงถูกตัดสินให้จำคุก?"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟาง ซุ่ยเอ๋อ ก็พูดอย่างอึดอัดใจหลังจากนั้นไม่นาน "แล้วพวกเราจะปล่อยมันไปแบบนั้นเหรอ?"
หลิง กว๋อจื้อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า "รอดูเถอะ ถ้าผู้ช่วยผู้กำกับเหอดไม่ดูแลลั่วอินในอนาคต แล้วเราจะคิดวิธีอื่น" เขาไม่มีความกล้าที่จะเข้ามาและท้าทายชายคนนั้นในตอนนี้…
หลิง ลั่วอิน ขมวดคิ้วด้านข้าง “ชายคนเมื้อกี้นั้น จริง ๆ เหรอ... เคยอยู่ในคุกจริง ๆ อย่างนั้นเหรอคะ?” แม้ว่าเธอจะมองเห็นได้ไม่ชัดนักเนื่องจากดวงตาของชายคนนั้นถูกปิดไว้ด้วยผมหน้าม้าของเขา แต่เธอก็ยังสังเกตเห็นได้ว่าเขาดูดี…
ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูคุ้น ๆ เหมือนกับว่าเธอเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน
หรือชายคนนี้ยังเป็นสมาชิกในแวดวงบันเทิงด้วย?
ในห้องเช่า หลิง อี้หราน มองไปที่ อี้ จิ่นหลี และพูดว่า "ขอบใจนะ" ถ้าจินไม่กลับมาเธอคงจะถูกพ่อของเธอทุบตีไปแล้วเมื่อกี้นี้
"ไม่ต้องขอบใจที่ผมช่วยพี่หรอก มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมควรทำหรือไง?" เขาพูดพร้อมมองไปที่ข้อเท้าของเธอ "มันยังไม่หายดีเลยนะ ผมจะทาน้ำมันไพลให้พี่เอง"
ในขณะที่เขาพูดเขาหยิบขวดน้ำมันไพลออกมาทาที่ข้อเท้าของเธอแล้วกดมือลงบนข้อเท้าของเธอ
บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อย หลิง อี้หราน กัดริมฝีปากเของเธออย่างเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทำไมคุณไม่ถามฉันว่าทั้งสามคนมาที่นี่เพื่ออะไร?"
“ผมจะไม่ถามถ้าพี่ไม่อยากบอก” เขากล่าว
“อันที่จริง แล้วมันไม่มีอะไรยากที่จะพูดหรอก พวกเขาเป็นพ่อ แม่เลี้ยง และน้องสาวต่างเเม่ของฉัน” หลิง อี้หราน กล่าว “แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ปัญหาของฉันอีกต่อไปแล้วแหล่ะ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ถามอีกครั้ง "นายไม่มีอะไรจะถามอีกเหรอ?" เขาน่าจะได้ยินตอนที่พ่อของเธอดุเธอต่อหน้าเขาว่าเธอติดคุกแล้ว
เขากะพริบตาแล้วเงยหน้าขึ้น "พี่สาวอยากให้ผมถามอะไรครับ?
ดวงตาสีเข้มของเขาเผยให้เห็นความเงียบแปลก ๆ ภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัว
หลิง อี้หราน ค่อย ๆ สงบลงจากความวิตกกังวลแลหายใจเข้าลึก ๆ "ฉันถูกตัดสินจำคุกสามปี ในข้อหาเมาแล้วขับจนเป็นเหตุก่อให้เกิดแก่ความตายและฉันก็ได้รับการปล่อยตัวเมื่อไม่นานมานี้"
หลายคนคงเปลี่ยนทัศนคติเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลังจากที่เธอถูกปล่อยตัวตราบใดที่คนรอบข้างรู้ว่าเธอติดคุก พวกเขาจะปฏิบัติต่อเธอด้วยการอคติและจงใจรักษาระยะห่างจากเธอ
“แต่เขาล่ะ... เขาจะ...” ในตอนนี้เธอมีความรู้สึกเหมือนกับตอนที่กำลังรอการพิจารณาคดีในศาล
“จริงเหรอ?” เขาพูดอย่างเฉยเมยโดยยังคงจดจ่ออยู่กับการนวดข้อเท้าของเธอ
"แค่… แค่นั้นเหรอ?" เธอกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ "นายไม่รังเกียจเหรอ?" เธอถาม
"ทำไมผมถึงต้องรังเกียจล่ะ?" เขาตอบในเชิงถาม "อย่างที่พี่พูดจากนี้ไปตราบใดที่ผมเรียกคุณว่าพี่เราแค่ต้องห่วงใยซึ่งกันและกันและไม่มีอะไรจะต้องสนใจอีก"
หัวใจของเธอดูเหมือนจะสงบลงเพราะคำพูดของเขา หลิง อี้หราน ยิ้มราวกับว่าเธอได้รับการปลดปล่อยจากภาระอันหนักอึ้งนี้ "จิน ฉันโชคดีจังที่ได้พบนาย”
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอไม่ได้สังเกตว่ามีแสงแวบเข้ามาในดวงตาของเขา
ในวันอาทิตย์ ชิน เหลียนอี ไปเยี่ยมอพาร์ทเมนต์เช่าของหลิง อี้หราน โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็น อี้ จิ่นหลี เธอไม่สามารถที่จะเคิดได้เลยว่าเขาเป็นพวกคนจรจัดที่เพื่อนของเธอพูดถึงได้
แม้ว่าเขาจะสวมเพียงแจ็คเก็ตและกางเกงขายาวผ้าฝ้ายธรรมดาและรองเท้าผ้าใบราคาถูกซึ่งเห็นได้ชัดว่าซื้อมาจากแผงขายของข้างถนน แต่เขาก็ดูไม่ราคาถูกแม้ว่าจะในชุดนี้เพราะเขามีรูปร่างดี
เขาสูงมากกว่า 180 ซม และมีโครงหน้าที่สวยงามแม้ว่าผมม้าหนาของเขาจะบังสายตาของเขาอยู่บ้าง แต่การมองดวงตาใต้ผมหน้าม้าเป็นครั้งคราวจะทำให้คุณประทับใจอย่างมากเลยทีเดียว
อย่างน้อย ชิน เหลียนอี ก็ไม่เคยเห็นดวงตาของผู้ชายที่สวยได้ขนาดนี้ซึ่งสวยกว่าไอดอลหรือคนดังคนไหนอีก ด้วยใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและการออกเสียงภาษาจีนกลางแบบมาตรฐานเขาสามารถตอบคำถามของเธอได้อย่างคล่องแคล่ว
"นี่เหรอที่เรียกว่าคนจรจัด?"
เธอดึงหลิง อี้หราน ไปด้านข้างและแอบถาม "เธอแน่ใจหรือว่าเขาเป็นคนจรจัดที่ไม่มีที่จะอยู่ เขาสามารถเป็นดาราหรือนายแบบได้ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขาเลยนะ"
“ไม่ใช่คนหน้าตาดีทุกคนที่เหมาะจะเป็นดาราหรือนางแบบนะ” หลิง อี้หราน ตอบ
ชิน เหลียนอี คิดอีกครั้งและตระหนักว่าการหาเลี้ยงชีพในวงการบันเทิงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"ในขณะที่เธอติดแหง็กอยู่กับเขาทุกวัน เธอไม่มีความคิดเลยหรือ?"
หลิง อี้หราน กลอกตาของเธอ เหลียนอีไม่เป็นกังวลมาก่อนที่จินจะทำอะไรที่ชั่วร้ายกับเธอ? ตอนนี้เธอดูเหมือนจะกังวลว่าเธอจะทำอะไรกับเขาแทน
"เขาอายุน้อยกว่าฉันไม่กี่เดือนฉันถือว่าเขาเป็นน้องชายของฉันเท่านั้น"
ชิน เหลียนชี เดินไปข้างหน้า อี้ จิ่นหลี “ฉันจะพูดตรง ๆ ว่าคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้ถ้าคุณต้องการ แต่คุณต้องสัญญาว่าคุณจะไม่ทำให้วุ่นวายและจะไม่โกหกอี้หราน คุณรู้ไหมเธอเกลียดการหลอกลวง และถ้าคุณเป็นคนโกหกฉันจะโทรแจ้งตำรวจและจับคุณ!"
"เหลียนอี เธอกำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย? จินจะไม่โกหกฉัน" หลิงอี้หราน ตอบอย่างรีบร้อน
"เธอรู้จักเขามานานแค่ไหนกัน? มาทำให้มันชัดเจนก่อน เฮ้ จิน คุณได้ยินไหม?" ชิน เหลียนอี พูดกับ อี้ จิ่นหลี
เขายกมุมปากขึ้นแล้วพูดว่า "ตกลง ผมรู้แล้ว"
ตอนนี้เขากำลังยิ้มเบา ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ และไม่ได้ตอบว่า "ใช่"
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิน เหลียนอี รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าออร่าที่เปล่งออกมาจากเขานั้นทำให้เธอเป็นคนที่ได้รับคำเตือน
“เขาเป็นแค่คนจรจัด ฉันคงคิดมากเกินไปเองแหล่ะ” ชิน เหลียนอี คิดกับตัวเอง อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะจากไปเธอแอบบอกกับเพื่อนของเธอให้ปกป้องตัวเองและโทรหาเธอถ้าจำเป็น
เมื่อเหลือแค่พวกเขาเพียงสองคนในห้อง หลิง อี้หรานจึงพูดกับอี้ จิ่นหลี ว่า "อย่าสนใจสิ่งที่เหลียนอีพูดเลยเมื่อกี้เลย เธอเพียงแค่เป็นห่วงฉันน่ะ"
"เธอเป็นเพื่อนของพี่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรผมก็จะไม่เสียใจหรอก" อี้ จิ่นหลี กล่าว เขาพบว่าคำเตือนแบบนั้นไร้สาระ "พี่เข้ากันกับเธอได้ดีไหม?"
“นายรู้หรือไม่ว่าฟางช่วยชีวิตคืออะไร? เมื่อนายจมน้ำนายไม่สามารถคว้าอะไรได้ไม่ว่านายจะพยายามแค่ไหน ในเวลานั้นเมื่อนายสามารถจับฟางได้แม้ว่าฟางเส้นนี้จะพานายไปไม่ได้ มันจะให้ความหวังแกนาย เพื่อที่นายจะไม่สิ้นหวัง" เธอบ่นพึมพำ "เหลียนอีเป็นฟางของฉันน่ะ"
.