บทที่ 3
ในขณะที่โรสกำลังเรียกรถแท็กซี่อยู่ริมถนน เจย์ก็เดินมาพร้อมกับหญิงสาวทรงเสน่ห์ข้างกายเขา
“หลบไป”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มและนุ่มลึกราวกับเสียงเชลโลที่สามารถทำให้หญิงสาวใดก็ตามอ่อนระทวย
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่าของชายผู้มากเงินทอง
โรสรู้สึกตัวทันทีว่าเธอและลูกๆกำลังขวางทางเขาอยู่—พวกเขากำลังยืนอยู่หน้ารถโรลส์รอยส์พร้อมด้วยสปิริทออฟเอ็กสเตซี่บนฝากระโปรงรถ
โรสลากกระเป๋าเดินทางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ดึงลูกๆของเธอ เมื่อโรสเห็นเจย์ เธอค่อนข้างรู้สึกตื่นตระหนก และพยายามจะหลบฉากออกไปช้าๆ—
หญิงสาวผู้มีเสน่ห์เย้ายวนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยและเหน็บแนม “เธอต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงได้ห่อตัวด้วยเสื้อผ้าแบบนั้น เอาเลย อยากจะใส่แว่นกันแดดก็แล้วแต่ แต่ทำไมต้องบังคับให้ลูกของเธอใส่มันเวลาเดินด้วย? นั่นมันอันตรายไม่ใช่รึไง เธอไม่ห่วงเหรอว่าพวกเขาจะล้มเข้าหรืออะไรทำนองนั้น?”
โรสรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ‘ฉันก็คงไม่ต้องใส่เสื้อผ้าแบบนี้ถ้าไม่ต้องหลบซ่อนจากมารผจญแบบเธอหรอก’
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้เซ็ตตี้อารมณ์ไม่ดี—คุณแม่ของเธอพูดถูกมาตลอด
เซ็ตตี้จะโกรธขึ้นมาทันทีหากใครก็ตามที่พูดไม่ดีใส่คุณแม่ของเธอ เธอพร้อมที่จะเปลี่ยนจากนางฟ้าตัวน้อย กลายเป็นปีศาจจิ๋วทันที
ในตอนนั้นเอง เซ็ตตี้เอาตัวพุ่งเข้าชนผู้หญิงคนนั้น
แรงปะทะทำให้แว่นกันแดดของเด็กน้อยกระเด็นตกพื้น
ผู้หญิงคนนั้นรีบถอยออกมาอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้ร่างน้อยๆของเซ็ตตี้ชนเข้ากับเจย์
เซ็ตตี้เริ่มจู่โจมเจย์ด้วยกำปั้นน้อยๆของเธอ กรีดร้องด้วยเสียงอันน่าเอ็นดูแต่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “คุณแม่แค่เป็นห่วงพวกเราว่าจะถูกพวกลักพาตัวเด็กแบบพวกคุณจับไป คุณแม่ก็เลยให้พวกเราสวมแว่นตาเพื่อปกป้องตัวพวกเราเอง หนูจะไม่ยอมให้คนไม่ดีแบบคุณมาว่าคุณแม่ได้ เธอคือคุณแม่ที่เจ๋งที่สุดในโลก”
เจย์หันไปจ้องโรสด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นี่คุณบอกเธอว่าผมเป็นพวกลักพาตัว?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำกล่าวหาของเจย์ สมองของโรสเริ่มจะขาดออกซิเจนทันที
ก็แหงสิ คำตอบคือใช่อยู่แล้ว แน่นอนที่สุด เธอคิดว่าเขามันน่ากลัวกว่าพวกขบวนการค้ามนุษย์คนไหนด้วยซ้ำ
ถ้าหากเจย์รู้ขึ้นมาว่าเซ็ตตี้เป็นลูกของเขาขึ้นมา เขาจะต้องพยายามเล่นใหญ่และหลังจากนั้น ก็จะขอสิทธิ์การดูแลเด็กไป
โรสไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก เธอกลัวว่าเขาจะจำเสียงของเธอได้
ความเงียบของเธอเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากคำยืนยันสมมติฐานของเขา
อารมณ์ของเจย์พลันมืดมนลง นี่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะตราหน้าเขาว่าเป็นพวกลักพาตัว?
“นี่คือวิธีที่คุณสอนเด็กงั้นสิ?” เขาแค่นเสียง
ศรีษะของโรสหดเข้าไปในลำคอเหมือนนกกระทา เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจย์ได้ จิตใจของเธอสับสนไปหมด
เซ็ตตี้เหมือนแม่ของเธอ เพราะฉะนั้นเจย์ไม่น่าหาความเชื่อมโยงอะไรกับตัวเขาได้
ยังไงก็ตาม ร็อบบี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเจย์เวอร์ชั่นมินิ ร็อบบี้ต้องไม่เปิดเผยหน้าตาให้เจย์เห็นไม่ว่ายังไงก็ตาม
โรสเอื้อมมือไปกอดร็อบบี้ไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา เธอกลัวว่าเขาจะเสียการควบคุมตัวเองตามเซ็ตตี้ไปอีกคน
เจย์ผลักเซ้ตตี้ออกไป ก่อนจะปัดบริเวณที่เซ็ตตี้เคยจับ ราวกับเขารังเกียจ เขาเปิดประตูเบาะหลังเพื่อให้หญิงสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ร็อบบี้ ผู้ถูกคุณแม่กอดไว้ในอ้อมแขนจ้องมองไปที่ทะเบียนรถโรลส์รอยส์คันนั้น และจำมันไว้ในสมอง
ชายคนนั้นดูเหมือนเขายังกับแกะ
“คุณแม่~ ทำไมคุณแม่ไม่พูดอะไรเลยล่ะคะ?” เซ็ตตี้เสียใจมาก ตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ
สมัยก่อน ทุกครั้งที่เธอถูกรังแก คุณแม่จะวิ่งเข้ามาสั่งสอนพวกเด็กเกเรพวกนั้นเสมอ
“คุณแม่ วันนี้คุณแม่ดูอ่อนแอมากเลยครับ” ร็อบบี้น้อยของเธอถอดแว่นกันแดดออก เขากรอกตาไปมองแม่ของเขาที่ยังคงไม่พูดอะไร
โรสพูดไม่ออก นี่เธอกำลังถูกเด็กๆของเธอเท?
เจย์คือตัวซวยของเธอในทุกๆความหมาย ทันทีที่เขาปรากฏตัว ลูกของเธอก็เลิกมองเธอในทางที่ดี
และดูเหมือนว่าโรคระบาดนี้จะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ด้วยความหงุดหงิด โรสเรียกแท็กซี่ แล้วทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังเขตชุมชนเจิดจรัส ที่ถนนวงแหวนที่สามในเมืองนอร์ธซิตี้ ที่ซึ่งแม่ของเธออาศัยอยู่ในตอนนี้
…
ภายในรถโรลส์รอยส์อันหรูหรา
โจเซฟิน อาเรส กอดอกในขณะที่เพ่งดูผ่านหน้าต่างรถเพื่อสังเกตครอบครัวแว่นกันแดดที่แสนแปลกประหลาดจนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถแท็กซี่และจากไป
เธอไม่ได้สนใจอะไรกับการเผชิญหน้าเมื่อครู่มากนัก
ทว่า เมื่อเธอเห็นสาวน้อยคนนั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยก็ลอยเข้ามาให้หัวของเธอ
“เจย์ นายไม่คิดว่าเด็กคนนั้นหน้าคุ้นๆบ้างเหรอ? ตาของเธอดูเหมือน...เหมือนพี่สะใภ้ของฉันไง!”
พี่ชายของเธอ เจย์ เขากำลังจับพวงมาลัยพร้อมกับตอบด้วยความผ่อนคลาย “พี่สะใภ้? พี่สะใภ้ไหน?”
“เจย์ นายเคยแต่งงานมาแล้วครั้งนึง จำได้ไหม?” โจเซฟินเตือนความจำของเขา
ภาพของโรสปรากฏขึ้นในหัวของเจย์ เจย์เทียบหน้าของเด็กสาวคนนั้นกับโรสในหัว
เอี๊ยด! รถโรลส์รอยส์คันงามพลันหยุดลงอย่างกระทันหัน
โรส? ผู้หญิงคนนั้น คนที่ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดทุกครั้งที่นึกถึงเธอน่ะเหรอ?
“โอ๊ย!” โจเซฟินพุ่งไปข้างหน้าตามโมเมนตัม ก่อนที่หน้าผากของเธอจะชนเข้ากับด้านหลังของที่นั่งด้านหน้า
“เจย์ นายทำร้ายน้องสาวสุดที่รักแบบนี้ได้ยังไง? ถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง? นายจะดูแลฉันไปตลอดทั้งชีวิตได้ไหม?”
รถโรลส์รอยส์หยุดจอดที่ข้างทาง เจย์รีบลงจากรถแล้วมองไปทางทิศที่สนามบินอยู่
โจเซฟินเลื่อนกระจกหน้าต่างลงและกล่าวเสียงอ่อน “อย่าเสียเวลาเลย พวกเขาขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว เราลงใต้และพวกเขาก็ขึ้นเหนือ นายไม่มีทางตามทันต่อให้นายกลับรถตามไปก็เถอะ”
เจย์ค่อยๆกลับมานั่งที่นั่งคนขับแล้วปิดประตู
โจเซฟินเริ่มฉอดออกมาอย่างตื่นเต้น “เจย์ ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้คือโรสล่ะ?”
เจย์ขยับกระจกมองหลัง ทำให้เขาสามารถมองตรงไปยังโจเซฟินได้ ในกระจกนั่น โจเซฟินเห็นใบหน้าแสนเย็นชาของพี่ชายของเธอได้อย่างชัดเจน
โจเซฟินทำได้แค่หัวเราะ “ช่าย คงมีแต่โรสที่ทำให้นายบ้าบอได้ขนาดนี้ อ้อจริงด้วย เธอแม้กระทั่งเรียกนายว่าพวกลักพาตัวเด็กด้วยนี่”
เมื่อเจย์ลองไตร่ตรองดู เขาก็คิดได้ว่า นั่นเป็นอะไรที่คนแบบโรสจะทำจริงๆนั่นแหละ
เพราะยังไงก็ตาม ความคิดโดยหลักเหตุผลของผู้ชาย กับความคิดแบบใช้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้หญิง โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่แล้ว เจย์ขมวดคิ้วและกำลังพิจารณาว่ามันมีความเป็นไปได้ขนาดไหนที่โรสจะปรากฏตัวในเมืองฝั่งนี้
“ไม่มีทางที่จะเป็นเธอได้ เธอตายไปห้าปีแล้ว” แม้ว่าเขาจะกล่าวออกไปแบบนั้น แต่เขาก็หาคำอธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆที่เขารู้สึกไม่ได้เลย
“เจย์ นายไม่รู้สึกว่าการตายของโรสมันมีกลิ่นแปลกๆบ้างเหรอ?” โจเซฟินกล่าว “ไม่มีใครในพวกเราเห็นรูปว่าเธอตายยังไง แค่รูปที่ระลึกมันไม่พอจะยืนยันว่าเธอตายจริงๆได้หรอก คิดดูสิ เทคโนโลยีการตัดต่อรูปภาพมันพัฒนาขึ้นทุกวัน”
“ฉันส่งคนออกไปตามหาเธอแล้ว ถ้าเธอยังไม่ตายจริง งั้นทำไมถึงไม่มีใครเจอเธอเลย?” เจย์เหยียบคันเร่ง ส่งกำลังเครื่องยนต์ให้รถพุ่งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
โจเซฟินเลิกคิ้วขึ้น และครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ “ระบบติดตามตัวของตระกูลอาเรสน่าประทับใจก็จริง แต่ไม่แน่บางทีเธออาจจะมีวิธีเล็ดลอดการตรวจจับไปก็ได้”
เจย์กล่าวเสียงเย็น “เธอประเมินนังบ้านั่นสูงเกินไป เธอก็แค่พวกบ้านนอกไร้ประโยชน์”
โจเซฟินยักไหล่ “ต่อให้เธอจะมาจากชนบทก็ตาม นายก็ต้องยอมรับว่าเธอมีวิธีปั่นหัวนายได้น่าประทับใจทีเดียว”
เจย์กำพวงมาลัยแน่นมากจนมือของเขาซีดขาว