บทที่ 14
ซินดี้ถอดแว่นกันแดดของเธอออกและมองไปที่แคทเธอรีนด้วยความดูถูก “มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่วันนี้เธอจะบังเอิญเจอกับฉัน เพราะฉันเหนื่อยที่จะปฏิเสธเธอด้วยข้อแก้ตัวเหมือนกัน พูดจริง ๆ นะ เป็นความผิดของเธอที่ไม่รู้ว่าเธอควรจะยืนอยู่ตรงไหน เธอยังต้องรอให้ฉันสาธยายให้เธอฟังก่อนถึงจะเข้าใจอย่างนั้นเหรอ?”
แคทเธอรีนรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ เมื่อเธอพิจารณาใบหน้าที่แต่งหน้าอย่างสวยงามตรงหน้าของเธอ
ทั้งอีธานและซินดี้เคยเลือกที่จะทำดีกับเธอก่อนหน้านี้ เพราะเธอเตรียมที่จะเป็นผู้สืบทอดในฐานะทายาทของตระกูลโจนส์
“ซินดี้ เธอไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” เฟรยาตะโกนออกมา “เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อก่อนเธอเคยโดนเจเน็ตกลั่นแกล้ง? แล้วที่เคธี่ให้ความช่วยเหลือเธอเรื่องเพลง...”
“เลิกพยายามแฉเรื่องในอดีตของฉันสักที เธอกับฉันมันคนละชั้นกัน” ซินดี้ตัดบทด้วยความหงุดหงิด “เฟรยา ฉันจะแนะนำให้นะ คนบางคนก็มีแต่จะดึงเธอลงต่ำเท่านั้น เธออยู่ห่างจากคนเหล่านั้นเอาไว้จะดีกว่า”
“หุบปาก! เพื่อนควรจะสนับสนุนซึ่งกันและกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เธอไม่เข้าใจเหรอ?” ความโกรธที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของเฟรยานั้นชัดเจน
“ช่างเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกับพวกเธอ” แคทเธอรีนคว้าแขนของเฟรยาเอาไว้ ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง “พวกเรามาที่นี่เพื่อทานอาหารนะ ไปกันเถอะ”
เฟรยาจ้องเขม็งไปที่ผู้หญิงทั้งสามคนนั้น ก่อนจะถูกแคทเธอรีนพาออกไป
“เคธี่ ผู้หญิงคนนั้นเสียสติไปแล้วเหรอ? เธอแค่เป็นเพื่อนที่ดี ซินดี้จะไม่มีวันนี้ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากเธอ เธอลืมไปได้อย่างไรว่าเจเน็ตเคยแกล้งเธอ? ฉันเสียใจที่ไม่ได้รู้ธาตุแท้ของซินดี้ก่อนหน้านี้”
แคทเธอรีนหลุบสายตาลงมองพื้น ใบหน้าที่สวยงามและบอบบางของเธอยังคงนิ่งเฉย
“เคธี่ เธอไม่โกรธเหรอ? เธอไม่อยากด่าเธอบ้างเลยเหรอ?”
“อยากสิ แต่มันมีประโยชน์อะไรล่ะ?” มุมปากของเธอยกขึ้นยิ้มด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง มีความเศร้าหมองฉายแววออกมาจากดวงตาของเธอ “แต่นี่เป็นเรื่องจริง ดูอย่างพ่อแม่ที่ให้กำเนิดฉันสิ พวกเขาไม่สนใจฉันเลย ขณะอีธานที่เติบโตมาด้วยกันก็ยังทอดทิ้งฉันเลย ฉันไม่มีงาน ไม่มีที่ซุกหัวนอน และไม่มีใครรัก ไม่ผิดหรอกที่ซินดี้จะทำกับฉันแบบนี้”
เฟรยามองไปที่เพื่อนของเธอด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและโกรธ
“พ่อของฉันพูดเอง การที่มีฉันอยู่ในซัมมิท กรุ๊ป เพียงเพื่อให้ฉันเป็นผู้ช่วยรีเบคก้าเท่านั้น ฉันสามารถออกจากบริษัทได้ถ้าฉันไม่ยอมรับชะตากรรม”
รอยยิ้มที่น่าสงสารปรากฏขึ้นใบหน้าของเธอ “แน่นอนว่าฉันไม่ยอมรับ ฉันก็เลยออกมา”
เฟรยาพยายามให้กำลังใจเธอ “พอเถอะ เธอสามารถประสบความสำเร็จที่อื่นได้ด้วยความสามารถของเธออย่างแน่นอน”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาหาพวกเธอ
“ขออภัยคุณผู้หญิง คุณได้จองเอาไว้หรือเปล่า?”
“ค่ะ ฉันโทรมาจองกับผู้จัดการลอเรนซ์ก่อนหน้านี้แล้วค่ะ” เฟรยาชี้ไปที่ผู้จัดการที่กำลังยืนอยู่ที่แผนกต้อนรับ
ผู้จัดลอเรนซ์เดินตรงมาหาพวกเขา “คุณลินช์ครับ ผมจองห้องส่วนตัวไว้ให้กับคุณแล้ว ขออนุญาตให้ผมพาไปนะครับ”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงของเจเน็ตก็ดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา
“ผู้จัดการลอเรนซ์คะ วันนี้ฉันพาเพื่อนสองสามคนมากับฉันด้วย คุณพอจะมีห้องส่วนตัวเหลือบ้างไหม?”
ผู้จัดการดูตกใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเขาสังเกตเห็นซินดี้ในกลุ่มผู้หญิงพวกนั้น “นี่คงจะเป็น ซินดี้ เทิร์นเนอร์ ที่เป็นนักร้องหรือเปล่าครับ?”
คนที่ถูกเอ่ยชื่อยิ้มออกมา “ผู้จัดการลอเรนซ์ คุณนี่ตาถึงจริง ๆ เลยนะคะ ฉันบอกซินดี้ว่าอาหารที่นี่อร่อยมาก คืนนี้ตารางงานของเธอว่างพอดี พวกเราเลยมาที่นี่” เจเน็ตพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
ผู้จัดการลอเรนซ์รู้สึกหนักใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “คุณเทิร์นเนอร์มีน้ำเสียงที่ไพเราะมากครับ ผมเป็นแฟนคลับของคุณ แต่น่าเสียดายที่คืนนี้เรามีการจองเต็มแล้วครับ”
“คุณอย่าบอกนะว่าคุณจองไว้ให้พวกเธอ?” เจเน็ตชำเลืองมองไปที่แคทเธอรีนด้วยหางตา
ชั่วอึดใจเดียวเฟรยาเต็มไปด้วยความโกรธ “พวกเราจองห้องมาล่วงหน้า เธอก็จองของเธอเองสิถ้าเธออยากจะทานอาหารที่นี่”
ผู้จัดการลอเรนซ์ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร พวกเธอทั้งคู่คือคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวยของเมลเบิร์น คงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดที่จะทำให้พวกเธอทั้งสองไม่พอใจ
มุมปากของเจเน็ตยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ เมื่อเธอชี้ไปที่รีเบคก้า
“ผู้จัดลอเรนซ์ ฉันรู้จักซินดี้อยู่แล้ว แต่คุณอาจจะไม่รู้จักผู้หญิงที่อยู่ตรงนี้ ชื่อของเธอคือ รีเบคก้า โจนส์ และพ่อของเธอเป็นประธานของ ซัมมิท บิลดิง ดีไซน์ กรุ๊ป อีกไม่นานเธอก็จะเป็นผู้สืบทอดบริษัท ขณะที่เพื่อนสนิทของคุณลินช์ เธอเป็นแค่ผู้ช่วยปลายแถวของคุณโจนส์คนนี้”
เรื่องนี้ทำให้ผู้จัดการตกใจ
ซัมมิทกรุ๊ปเป็นหนึ่งใน 300 บริษัทที่ประสบความสำเร็จภายในประเทศ เป็นชื่อที่ทุกคนในเมลเบิร์นรู้จัก
นอกจากนี้ เจเน็ตยังมาจากตระกูลที่ร่ำรวย เมื่อเทียบกับเฟรยาและเพื่อนของเธอดูเหมือนจะสู้ไม่ได้
เฟรยาเถียงขึ้น “ผู้ช่วยปลายแถวอย่างนั้นเหรอ? ตรงนั่นมีแต่หัวขโมยไร้ยางอายที่ชอบแย่งสิ่งที่เป็นของคนอื่น”
ใบหน้าของรีเบคก้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจเน็ตจ้องมองผู้ชายคนนั้นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มีห้องว่างให้พวกเราหรือยังคะผู้จัดการลอเรนซ์?”
“ครับ แน่นอน”
ผู้จัดการลอเรนซ์ตัดสินใจในทันที “คุณลินช์ครับ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมได้ตกลงจ้องห้องให้คุณแคมป์เบลก่อนคุณ... อืม กรุณามาใหม่วันหลังนะครับ”
แคทเธอรีนหรี่ตาลงด้วยความคุกรุ่น “ผู้จัดการลอเรนซ์คะ นี่คุณคิดว่าเราเป็นคนโง่เหรอคะ?”
เฟรยาถกแขนเสื้อของเธอ “คุณคิดว่าคุณจะกลั่นแกล้งฉันได้ใช่ไหม? แค่ฉันโทรหาพี่ชายของฉันกริ๊งเดียวตอนนี้ ร้านอาหารของคุณก็จะถูกปิดภายในเวลาไม่กี่วินาที”
“ผู้จัดการลอเรนซ์คะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เราจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเองค่ะ” รีเบคก้าระบายยิ้ม
ผู้จัดการรู้สึกมั่นใจกับการให้การสนับสนุน “คุณลินช์ครับ ผมเป็นแค่พนักงาน คุณอย่ามาวางอำนาจกับผมเลยครับ กรุณาออกไปเดี๋ยวนี้และหยุดรบกวนลูกค้าของเราสักที”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่ไป? ถ้าฉันไม่ได้กินอาหารที่นี่ ก็จะไม่มีใครได้กินเหมือนกัน”
เธอหยิบแจกันขึ้นมาและทุ่มมันลงกับพื้น
ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้จัดการอย่างรวดเร็ว “พาพวกเธอออกไปจากที่นี่” เขาสั่งกับพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้ ๆ
ก่อนที่แคทเธอรีนจะทันได้ตอบโต้ ทั้งเธอและเฟรยาก็ถูกชายร่างกายกำยำผลักออกจากประตูทางเข้า
พนักงานเสิร์ฟหยาบคายกับเธอเป็นอย่างมาก เพราะเธอสวมรองเท้าส้นสูง เธอจึงสูญเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้น
ถึงอย่างนั้น พวกพนักงานเสิร์ฟก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นและลากเธอออกจากร้านต่อไปก่อนที่เธอจะทันได้ลุกขึ้น
แคทเธอรีนรู้สึกเหมือนกับว่าเธอเป็นอะไรไม่ได้นอกจากกระสอบ แขนของเธอและหัวเข่ารู้สึกเหมือนไม่ใช่ของเธออีกต่อไป
“ปล่อยเธอ!”
เสียงที่เย็นชาของชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพวกเขา
หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ
อาจจะเป็น...